จากอีบุ๊กภาษาอังกฤษ ถึงหนังสือภาษาไทย
วันก่อนผมได้ฟังพอดแคส อ่านแล้วอ่านเล่า จำไม่ได้แล้วว่ากำลังเล่าหนังสือเล่มไหนอยู่ ย้อนกลับไปฟังก็หาไม่เจอ มีช่วงหนึ่งหนังสือบอกว่าทุกวันนี้โซเชียลเต็มไปด้วยเรื่องของคนประสบความสำเร็จ ทำให้คนทั่วไปรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีคุณค่าและอดคิดไม่ได้ว่าทำไมเราถึงไม่ประสบความสำเร็จเหมือนคนอื่นเขาบ้าง แน่นอนว่าคนที่ประสบความสำเร็จเหล่านั้นต้องผ่านความล้มเหลวมาก่อนทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ไม่ค่อยมีใครเอามาเล่า หนังสือเลยแนะนำให้เราแชร์เรื่องเฟลๆ ในโซเชียลกันบ้าง ผู้คนจะได้มีกำลังใจ ผมคิดว่าเป็นคำแนะนำที่ดี เพราะถ้าเป็นเรื่องเฟลนี่ผมเขียนได้แทบไม่รู้จบ
ผมจะเล่าสารพัดความเฟลตลอดการทำหนังสือ ใครปล่อยแก๊ส! รู้จักโลกร้อน (จริงๆ) และความหวังในการแก้ไข ให้ฟัง ใครที่กำลังอยากลองเขียนหนังสือก็น่าจะได้ประโยชน์ เพราะจะได้รู้ขั้นตอนต่างๆ โดยละเอียด ส่วนใครที่ต้องการกำลังใจ รับรองว่ามีให้เต็มที่
เล่าให้ฟังก่อนนะครับว่าทำไมอยู่ดีๆ ผมถึงไปสนใจเรื่องโลกร้อนได้ (จริงๆ ต้องเรียกว่า climate change หรือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ถึงจะถูก แต่มันฟังดูทางการเกิน) เรื่องของเรื่องคือ เย็นวันหนึ่งตอนที่กำลังกินข้าวกับเพื่อนที่ทำงานเก่า น้องคนหนึ่งในโต๊ะก็พูดขึ้นมาว่าการปล่อยคาร์บอนที่ทำให้โลกร้อนที่เราได้ยินกันทุกวันน่ะมันคือก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์ พอได้ยินอย่างนั้นทุกคนก็อึ้งไปพร้อมใจกันบอกว่ามันต้องเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่างหาก! ผมงงมากว่าทำไมเรื่องเบสิกขนาดนี้ยังมีคนไม่รู้
กลับถึงบ้านก็ยังคาใจไม่หาย และคิดได้ว่าที่เราได้ยินกรอกหูว่าโลกร้อนเป็นมหันตภัยร้ายและวิกฤตระดับโลก ส่วนใหญ่เราก็ฟังไปงั้นๆ แหละ ไม่ได้ทำอะไรกับมันหรอก แหม แต่ในเมื่อพูดกันซะขนาดนี้ จะไม่ทำอะไรเลยก็รู้สึกผิด ผมอยากลอยตัวเหนือปัญหา อยากยืดอกบอกใครต่อใครว่า เฮ้ย ผมไม่ได้มีส่วนทำให้โลกร้อนนะ! ก็เลยเกิดไอเดียว่าจะปลูกต้นไม้ให้ดูดก๊าซเรือนกระจกได้เท่ากับที่ผมปล่อย
คราวนี้ผมก็ต้องมานั่งคิดใช่ไหมว่าตัวเองปล่อยก๊าซปีละเท่าไหร่ ต้นไม้ดูดได้ปีละเท่าไหร่ พอจะเริ่มคำนวณปุ๊บก็รู้เลยว่า เฮ้ย! เราไม่มีความรู้อะไรเลยนี่หว่า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเริ่มคิดจากตรงไหน ก๊าซเรือนกระจกหมายถึงก๊าซอะไรบ้าง ปริมาณก๊าซเขาวัดกันยังไง
พอหาข้อมูลก็เจอเรื่องน่าตกใจ ผมไม่นึกมาก่อนว่าเราจะปล่อยก๊าซกันคนละเป็นตันๆ ต่อปี ก๊าซที่หนักขนาดนั้นฟังดูน่าเหลือเชื่อ มันลอยได้ยังไง ไม่รู้มาก่อนว่าต้นไม้ต้นหนึ่งดูดก๊าซได้แค่เศษเสี้ยวของที่เราปล่อย พูดง่ายๆ ว่าการปลูกต้นไม้แก้โลกร้อนคือเรื่องตลก (ผมเองตอนนั้นก็คิดแบบนั้นเหมือนกันใช่ไหมล่ะ) ยิ่งหาข้อมูลเพิ่ม ก็ยิ่งเจอแต่เรื่องน่าประหลาดใจ และผมก็ค่อยๆ สนใจเรื่องโลกร้อนแบบไม่รู้ตัว
รู้ตัวอีกทีผมก็อ่านโน่น นี่ นั่น เต็มไปหมด ถึงขนาดไปสอบหลักสูตร Sustainability and Climate Risk (เนื้อหาน่าสนใจดีนะครับ ผมเคยโพสต์เรื่องนี้ไว้) ความที่เรื่องโลกร้อนมันน่าสนใจมากๆ และหลายคนก็ยังเข้าใจผิด ผมเลยคิดจะเขียนหนังสือ
ก่อนหน้านี้ผมเคยเขียนหนังสือมาแล้วสองเล่ม คือ คเณิร์ตศาสตร์ ที่เล่าว่าวิชาคณิตศาสตร์ชั้นมัธยมเอาไปใช้อะไรในชีวิตประจำวันบ้าง และสร้างพอร์ตลงทุนที่ตัวคุณมั่นใจ ที่อธิบายการวางแผนและขั้นตอนการลงทุนที่คุ้มค่ากับความเสี่ยงอย่างเป็นขั้นตอน ซึ่งตอนนั้นกำลังอยู่ในขั้นตอนทำรูปเล่ม
ต้นฉบับ Non-Fiction ภาษาอังกฤษ
ใครที่เคยเขียนหนังสือสารคดี (non-fiction) น่าจะต้องเคยเผชิญความกลัวอย่างหนึ่ง…กลัวโป๊ะ ข้อมูลที่คุณเขียนสามารถถูกตรวจสอบได้ว่าถูกหรือผิด และไม่ว่าคุณจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับอะไรก็จะมีผู้เชี่ยวชาญที่เก่งกว่าคุณเสมอ คุณคงเคยอ่านหนังสือบางเล่มที่บางช่วงบางตอนคุณคิดว่าคนเขียนไม่รู้จริงใช่ไหมครับ อารมณ์แบบนั้นแหละน่ากลัวที่สุด ดังนั้นเวลาเขียนจะรู้สึกกดดันมาก ผมก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน
เรื่องโลกร้อนครอบคลุมสากกะเบือยันเรือรบ ตั้งแต่วิทยาศาสตร์ภูมิอากาศ อุตสาหกรรมและเทคโนโลยีพลังงาน การเกษตร อาหาร วัสดุก่อสร้าง และปิโตรเคมี ป่าไม้ มหาสมุทร ขยะ ไปจนถึงน้ำเสีย ถามว่าผมเป็นผู้เชี่ยวชาญอะไรสักเรื่องในนี้ไหม ตอบเลยว่าไม่ เวลาจะเขียนแต่ละเรื่องเลยต้องหาข้อมูลที่น่าเชื่อถือและทำความเข้าใจให้ได้มากที่สุดเสียก่อน แต่ความยากก็ยังไม่หมดแค่นั้น
นอกจากจะต้องเข้าใจเรื่องที่จะเขียนอย่างดีแล้ว เรายังต้องหาวิธีเล่าที่เข้าใจได้ง่ายและน่าสนใจด้วย หลายครั้งอาจต้องเลือกตัดทอนรายละเอียดบางส่วน (เราไม่ได้กำลังเขียนหนังสือวิชาการ) ต้องบาลานซ์การเล่าเรื่องกับรายละเอียดให้ดี
ประโยชน์ที่จะได้ทันทีหลังเขียนต้นฉบับเสร็จคือ เราจะรู้จักเรื่องที่เราเขียนมากขึ้นแบบก้าวกระโดด (ด้วยความกลัวโป๊ะนี่แหละ) อย่างที่เขาพูดกันว่าถ้าอยากรู้เรื่องอะไรจริงๆ ให้ไปสอนคนอื่น เรื่องไหนที่เรายังอธิบายตะกุกตะกัก แปลว่าเรายังไม่เข้าใจเรื่องนั้นอย่างทะลุประโปร่ง ต้องไปทำความเข้าใจให้ดีขึ้น
เรื่องโลกร้อนมีความยากเป็นพิเศษอยู่จุดหนึ่งคือ ข้อมูล ข้อมูลเกี่ยวกับโลกร้อนมักมีอคติปนอยู่ ซึ่งก็มีตั้งแต่ปฏิเสธเรื่องนี้โดยสิ้นเชิง ไปจนถึงทุกเหตุการณ์เลวร้ายล้วนเกิดจากโลกร้อนทั้งหมด เวลาหาข้อมูลจึงต้องทำแบบรอบด้านและระวังเป็นพิเศษ และถึงแม้จะพยามอย่างเต็มที่แล้ว สุดท้ายก็คงยังเหลืออคติปนอยู่บ้าง หลังจากได้อ่านข้อมูลจากหลายๆ แหล่ง ผมคิดว่าโดยเฉลี่ยข้อมูลจะเอียงนิดหน่อยไปทางที่ว่าอะไรๆ ก็โลกร้อน (ซึ่งอาจจะอารมณ์พาไป ไม่ก็จงใจทำให้สังคมตื่นตัวมากขึ้น) และมองการเติบโตของเทคโนโลยีสะอาดเร็วเกินจริง แน่นนอนว่าเราต้องหวังให้ไกล แต่ก็ต้องเตรียมปรับตัวกับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงเอาไว้ด้วย
ผมเขียนต้นฉบับแบบกระชับ เน้นเนื้อไม่เอาน้ำ ซึ่งอันนี้เป็นความชอบส่วนตัวนะครับ ผมไม่ค่อยชอบหนังสือที่อารัมภบทเยอะหรือเขียนวกวนหว่านล้อม เอาข้อมูล เหตุผล ตัวเลข และตัวอย่างมาให้ดูสิ เดี๋ยวผมทำความเข้าใจเองได้ ผมเขียนตามสไตล์ที่ว่า หนังสือเลยออกมาเล่มบางและอาจรู้สึกหนักหน่วงสำหรับหลายคน (ผมเองก็ต้องพยามหาจุดพอดีให้ได้เหมือนกัน)
ผมคิดง่ายๆ ว่าโลกร้อนเป็นเรื่องสากล ถ้าเขียนเป็นภาษาอังกฤษน่าจะขายได้เยอะ
เรื่องการใช้ภาษาไม่มีอะไรต้องคิดมาก ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาแม่ เขียนให้จบได้ก็บุญแล้ว ไม่ต้องลีลาเยอะ (เพราะทำไม่ได้) แต่ก็มีเรื่องหนึ่งที่ผมเลือก นั่นคือ เลือกใช้ภาษาง่ายๆ และพยามไม่เปลี่ยนคำศัพท์ไปมา ถ้าใครจำวิธีเขียนเรียงความที่เรียนตอนเด็กๆ ได้ อาจารย์จะบอกว่าไม่ควรใช้คำซ้ำๆ เพราะจะทำให้น่าเบื่อ แต่พอโตไปทำงาน หลายที่จะแนะนำไม่ให้เปลี่ยนคำศัพท์ไปมาป้องกันการสื่อสารผิดพลาด ผมเลือกที่จะน่าเบื่อเพื่อสื่อสารข้อความสำคัญ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าคิดถูกหรือคิดผิด อย่างว่า ชีวิตจริงไม่มีเฉลย
สิ่งที่รู้สึกได้คือ ภาษาอังกฤษเหมือนจะมีคำกริยาและคำคุณศัพท์ให้เลือกใช้มากกว่าภาษาไทยมาก อย่างถ้าจะเขียนว่า เราปล่อยก๊าซเรือนกระจกกัน “เยอะมาก” ภาษาอังกฤษก็มีคำให้เลือกหลากหลาย อย่าง large, huge, enormous หรือ gigantic อะไรแบบนี้ นี่ขนาดผมไม่ใช่เจ้าของภาษานะ ส่วนภาษาไทยก็มีคำให้เลือกเหมือนกันอย่าง มากมาย เยอะแยะ หรือ มหาศาล แต่คิดว่ามีน้อยกว่า (ผมลองไปเช็คจำนวนคำในพจนานุกรมไทยและอังกฤษดูแล้ว ภาษาอังกฤษมีคำเยอะกว่ามากเลย)
หลังจากที่เขียนต้นฉบับเสร็จแล้ว เราก็ต้องเตรียมภาพประกอบ ผมอยากให้หนังสือมีภาพน่ารักสดใสเยอะๆ จะได้สวนทางกับหนังสือโลกร้อนส่วนใหญ่ที่มักมีแต่ภาพภัยพิบัติ และเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาลิขสิทธิ์ รูปวาดก็เป็นทางเลือกที่ดี หนังสือสองเล่มก่อนของผมได้คุณ NEWYEAR วาดภาพประกอบให้ ซึ่งผมชื่นชอบมาก แต่เล่มนี้ผมอยากลองวาดเอง ถือว่าฝึกวาดรูปบนไอแพดไปในตัว ถ้าเกิดไม่สำเร็จขึ้นมาค่อยไปจ้างเอาทีหลัง และผมก็มีไอเดียจะวาดภาพเพี้ยนๆ ด้วย จะไปจู้จี้กับนักวาดภาพประกอบมากก็ไม่น่าจะดี โชคดีที่ผมวาดออกมาได้ดีกว่าที่คิด
ต้นฉบับเสร็จแล้ว ภาพประกอบเสร็จแล้ว เราก็ต้องตั้งชื่อหนังสือ หลังจากคิดมาหลายชื่อแต่ตัดสินใจไม่ได้สักที สุดท้ายก็เลือกชื่อ All That Gas เพราะปัญหาโลกร้อนมันก็มาจากสารพัดก๊าซเรือนกระจกใช่ไหมล่ะ ให้ฟังดูคล้าย All That Jazz ดีด้วย อ้อ ผมไม่เคยดูหนังหรือละครบรอดเวย์เรื่องนี้หรอกครับ ชื่อมันติดหูดีเฉยๆ
การทำ Self-Publishing
ความคิดแรกที่เข้ามาคือการเผยแพร่หนังสือด้วยตัวเอง (self-publishing) บน Amazon ซึ่งครองส่วนแบ่งการตลาดส่วนใหญ่ ผมหาข้อมูลเพิ่มเติมดูว่ามีทางเลือกอะไรอื่นอีกบ้าง อย่างเช่น จะขายกับ Amazon เจ้าเดียว หรือจะขายกับหลายเจ้า จะขายด้วยตัวเอง หรือขายผ่านตัวแทนที่จะเอาหนังสือเราไปลงบนแพลตฟอร์มต่างๆ อีกที จะขายเป็นอีบุ๊กอย่างเดียว หรือจะขายหนังสือเป็นเล่มๆ ด้วย
แพลตฟอร์มอย่าง Amazon ให้เราขายหนังสือเล่มโดยที่ไม่ต้องลงทุน Amazon จะพิมพ์หนังสือให้แบบเล่มต่อเล่ม (on demand) เมื่อมีคำสั่งซื้อ เราแค่ต้องกำหนดสเปคหนังสือและราคาขาย ต้นทุนในการพิมพ์สีแบบ on demand นั้นแพงมาก ผมจะต้องขายหนังสือบางๆ เล่มนี้มากกว่า 20 เหรียญถึงจะไม่ขาดทุน ผมเลยยังไม่ขายหนังสือเล่ม ผมตัดสินใจขายอีบุ๊กแค่บน Amazon ก่อน ถ้าเกิดขายดีค่อยไปขายบนแพลตฟอร์มอื่นต่อ
เพื่อให้ต้นฉบับดีขึ้น เราจะต้องหาบรรณาธิการมาช่วยแก้ไวยกรณ์ แก้คำผิด และปรับปรุงภาษาให้สละสลวย ขั้นตอนนี้สำคัญมากเพราะจะทำให้หนังสือเราดูโปรเฟสชันนัล ทุกคนคงเคยเจอคำผิดในหนังสือแล้วพาลคิดไปว่าหนังสือเล่มที่อ่านไม่มีคุณภาพและไม่น่าเชื่อถือใช่ไหมครับ ยิ่งภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาแม่ด้วย ผมยิ่งต้องการคนช่วยเข้าไปใหญ่
ผมหาบรรณธิการอิสระจากแพลตฟอร์มชื่อ Reedsy ซึ่งมีฟรีแลนซ์ให้บริการหลายอย่างเกี่ยวกับการทำหนังสือโดยเฉพาะ บริการบรรณาธิการมีให้เลือกหลายแพ็คเกจ ตั้งแต่ตรวจคำผิดอย่างเดียว (proofreading) ปรับแก้ไวยกรณ์และภาษา (copy editing) ไปจนถึงให้คำแนะนำเกี่ยวกับโครงสร้างหนังสือโดยรวม (developmental editing) แน่นอนว่าราคาไม่เท่ากัน ส่วนใหญ่จะคิดเป็นราคาต่อจำนวนคำ อย่างเช่น proofreading อาจจะ 0.015 เหรียญต่อคำ แต่ถ้ารวม copy editing ด้วยก็อาจกลายเป็น 0.022 เหรียญต่อคำ
บรรณาธิการบน Reedsy ได้รับการคัดกรองมาแล้วว่าเป็นตัวจริง (Reedsy บอก) เราสามารถกดเข้าไปดูประวัติและผลงานที่ผ่านมาของแต่ละคน ที่น่าตกใจคือผมไปเจอ Niall Kishtainy คนเขียนหนังสือ A Little History of Economics เข้าให้ เอาจริงๆ ปกติแล้วผมคงไม่รู้จักคุณ Kishtainy หรอก แต่ช่วงนั้นเพิ่งอ่านหนังสือเขาจบพอดีแล้วประทับใจสุดๆ เฮ้ย! คนระดับนี้มาอยู่ที่นี่ได้ไง เลยวัดดวงกดเสนอจ้างงานไป แพงก็ไม่สน ปรากฏว่าหลังจากรอไปสามสี่วัน อย่าว่าแต่จะตอบกลับเลยครับ แค่คำเสนอที่ผมส่งไปยังไม่เปิดอ่านด้วยซ้ำ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาเปิดบัญชีทิ้งไว้เฉยๆ หรือไม่ค่อยได้ใช้งานแล้วหรือเปล่า สรุปว่าผมต้องหาบรรณาธิการคนใหม่
บรรณาธิการที่ผมตกลงจ้างมีผลงานบรรณาธิการมาแล้วหลายเล่ม พอผมส่งคำเสนอจ้างงานไปก็เอาบทแรกของต้นฉบับปรับแก้ส่งมาให้ดูเป็นตัวอย่างก่อนด้วย ซึ่งผลงานออกมาดี (จริงๆ แล้วผมก็ไม่รู้หรอกว่าอย่างไหนถึงเรียกว่าดี) คิวงานของฟรีแลนซ์บน Reedsy เหมือนจะค่อนข้างแน่น ขนาดตกลงจ้างงานแล้วยังต้องรออีกหลายสัปดาห์กว่าจะเริ่มงานได้
ผลการปรับปรุงต้นฉบับปรากฏว่าไม่ต้องแก้พรุนอย่างที่คิด ไม่แน่ใจว่าเขายั้งมือเพราะกลัวเสียกำลังใจหรือเปล่า แถมยังชมอีกต่างหาก (ฝรั่งมักปากหวาน) เรื่องที่ผิดส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการใช้ article ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมสับสนมาตลอด จนถึงทุกวันนี้ก็ยังมึน นอกจากนั้นก็ได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกใช้คำศัพท์ ข้อแตกต่างระหว่างเครื่องหมายต่างๆ อย่าง ยัติภังค์ (hyphen, -) ขีดสั้น (n-dash, –) กับ ขีดยาว (m-dash, —) และแนวปฏิบัติในการเขียนที่ดี อย่างเช่น เมื่อไหร่ควรใช้ตัวเลข (อย่าง 365 days) เมื่อไหร่ควรสะกดเป็นคำออกมา (อย่าง six apples)
สิ่งที่ต้องคิดต่อไปคือรูปแบบของอีบุ๊ก เราจะต้องเลือกระหว่างแบบตายตัว (ไฟล์ PDF) หรือแบบ reflowable ที่ตัวอักษรปรับขนาดได้ (ไฟล์ EPUB) ข้อดีของแบบตายตัวคือเราจะจัดหน้ากระดาษได้สวยเหมือนในตำราวิชาการที่มีรูปภาพและตารางประกอบเยอะๆ ข้อเสียคือมันอ่านยาก โดยเฉพาะบนหน้าจอเล็กๆ อย่างมือถือที่จะต้องซูมเข้าไปอ่าน ทำให้ต้องเลื่อนซ้ายทีขวาที เลื่อนขึ้นเลื่อนลง จุดนี้อีบุ๊กแบบ reflowable กินขาด
ผมเลือกทำอีบุ๊กแบบตายตัว ไม่ใช่ไม่รู้ถึงปัญหานะ แต่เพราะต้องการความสวยงาม ผมตั้งใจทำอักษรตัวใหญ่พิเศษจะได้อ่านง่ายแม้บนมือถือ (ไม่ต้องซูม) ผลที่ได้คือถ้าใครอ่านบนแท็บเล็ตหรือจอคอม ตัวอักษรจะใหญ่เท่าบ้าน
ขั้นต่อมาคือการออกแบบปก กูเกิลบอกว่าปกหนังสือสำคัญมาก หลายคนตัดสินใจซื้อหนังสือจากหน้าปก และการออกแบบปกนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต้องมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการออกแบบ ตัวอักษรต้องใหญ่ประมาณนี้ ฟอนต์ต้องมีลักษณะประมาณนั้น สีที่ใช้ต้องสื่อความแบบโน้น บลาๆ สุดท้ายผมก็เห็นดีเห็นงามจ้างผู้เชี่ยวชาญ
งานออกแบบปกราคาค่อนข้างแพง อย่างต่ำต้องมี 100 เหรียญ ผมจ้างเว็บหนึ่งออกแบบให้ ปรากฏว่าผลงานที่ได้ไม่ถูกใจสักเท่าไหร่ จะบอกให้แก้ก็ไม่รู้จะบอกให้ชัดเจนได้ยังไง (ถ้ารู้ก็ทำเองแต่แรกแล้วไหม) แต่เรื่องงานศิลป์ก็นะ เราอาจเจอคนที่รสนิยมไม่เหมือนเราก็ได้ ไม่ว่ากัน ผมลองจ้างอีกเจ้า ผลงานก็ยังออกมาไม่ถูกใจเหมือนเดิม
สุดท้ายผมเลยออกแบบเองหลายๆ แบบ แล้วไปให้ที่บ้านและเพื่อนๆ ดู ปรากฏว่าแต่ละคนชอบกันคนละแบบ สรุปว่าเอาแบบที่เราชอบนี่แหละ ยังไงทุกคนก็คิดไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ใครจะจ้างนักออกแบบก็อย่าคาดหวังว่าเขาจะออกแบบได้ถูกใจ 100% ถ้ามีไอเดียอยู่แล้ว วาดแบบร่างไปให้เขาเลยดีที่สุด
สำหรับการขายอีบุ๊ก Amazon จะออกรหัส ASIN ซึ่งเป็นเลขอ้างอิงของ Amazon เองให้ เราสามารถขอ ISBN ต่างหากได้ ซึ่งเป็นความคิดที่ดี เพราะถ้ามี ISBN เราจะเอาอีบุ๊กของเราไปวางบนแพลตฟอร์มอื่นได้ด้วย ที่อเมริกาเราจะต้องซื้อ ISBN ผ่านเว็บอย่าง Bowker ที่คิดราคา 125 เหรียญ แต่สำหรับคนไทยเราสามารถยื่นคำขอออนไลน์ได้ฟรีที่เว็บห้องสมุดแห่งชาติ (https://e-service.nlt.go.th/) และความที่ ISBN เป็นรหัสสากล ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่ใช้บริการ ห้องสมุดแห่งชาติให้บริการอย่างฉับไว แค่วันสองวันก็ได้แล้ว
เมื่อเตรียมทุกอย่างเสร็จสิ้นและเผยแพร่หนังสือบน Amazon ได้สำเร็จ ผมก็ปลื้มปริ่มกับผลงานอีบุ๊กเล่มแรก ความรู้สึกที่ได้ดาวน์โหลดหนังสือตัวเองจาก Amazon นั้นเท่อย่าบอกใคร แต่พอผ่านไปแค่สองวันความรู้สึกกระโดดโลดเต้นก็หมดไป เพราะเริ่มเห็นชัดว่าอีบุ๊กแบบตายตัว (PDF) ไม่เฟรนด์ลี่กับผู้อ่านเอาเอาซะเลย และรูปและตารางในอีบุ๊กแบบ reflowable สมัยนี้ก็ทำออกมาให้ดูสวยได้ ผมอยากเปลี่ยนอีบุ๊กให้เป็นแบบ reflowable ที่ตัวอักษรปรับขนาดได้เสียแล้ว
การเปลี่ยนรูปแบบอีบุ๊กบน Amazon เป็นเรื่องยุ่งยาก ไม่เหมือนการแก้ไขเนื้อหาซึ่งแค่อัพเดทไฟล์ก็เสร็จ วิธีเดียวที่ทำได้คือเอาหนังสือเล่มเดิมออก แล้วเผยแพร่หนังสือเล่มใหม่
พอคิดว่าจะทำไฟล์ EPUB แล้ว ก็ใช่จะทำเป็นเลย หลายเว็บบอกว่าง่ายนิดเดียว ใช้แอปอย่าง Sigil หรือ Calibre ทำได้เลย ซึ่งก็ไม่ผิดนัก แต่จะให้อยู่ดีๆ ลงมือทำเลย ก็ไม่ค่อยมั่นใจ ผมอยากเข้าใจกลไกเบสิกของ EPUB ก่อนลงมือทำและไปเจอเว็บ The Heratik.net ที่เขียนอธิบายไว้เป็นอย่างดี (http://www.theheratik.net/books/tech-epub/) ความเข้าใจนี้ทำให้ผมเพิ่มฟีเจอร์บางอย่างที่ทำไม่ได้ง่ายๆ ด้วยแอป เช่น ทำให้หน้าต่างเด้งขึ้นมาเวลาผู้อ่านกดตัวเลขอ้างอิง แทนที่จะกระโดดไปท้ายเล่ม จะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา ผมเลือกใช้ Calibre เพราะใช้งานง่ายและฟรีด้วย ใครที่ไม่ถนัดคอมพิวเตอร์ก็ไม่ต้องกังวลไปนะครับ สามารถจ้างคนให้ช่วยทำได้
ข้อดีของไฟล์ EPUB อีกอย่างคือ Amazon จะอนุญาตให้เราใส่ฟีเจอร์ X-Ray เพื่ออธิบายคำศัพท์เทคนิคในหนังสือ เอาจริงๆ ผมว่าคงไม่ค่อยมีคนใช้หรอก แต่เราก็ต้องใส่ฟีเจอร์นี้อยู่ดีเพราะถ้าอีบุ๊กคนอื่นมีสัญลักษณ์ X-Ray แสดง แต่ของเราไม่มี อีบุ๊กเราจะดูแย่ทันที อะไรที่ดูดีควรทำไว้ก่อน
พอตั้งราคาเสร็จอะไรเสร็จ เราก็ขายหนังสือได้ทันที ปัญหาคือ ใครเขาจะซื้อ
หัวใจของการขายสินค้าไม่ว่าอะไรคือการตลาด เรื่องที่ผมทำไม่เป็นสักนิด กูเกิลบอกว่ามีเรื่องควรทำมากมาย ตั้งแต่เขียนคำบรรยายหนังสือให้ดึงดูด เลือกหมวดหมู่และคำค้นหาที่เหมาะสม สร้างเพจนักเขียนบน Amazon ขอคำโปรยจากเหล่าคนดัง สร้างบล็อกและเก็บอีเมลสมาชิก ส่งจดหมายโปรโมท จัดให้พรีออร์เดอร์ เอาหนังสือให้เว็บรีวิว (มีทั้งแบบฟรีและเสียตังค์) ลดราคาชั่วคราวเพื่อให้เว็บหนังสือลดราคาที่มีสมาชิกจำนวนมากโปรโมท (เช่น BookBub) ซื้อรีวิว ซื้อโฆษณาบน Amazon บน Facebook ทำคอนเทนต์ YouTube ไปจนถึงจ้างทีมพีอาร์มืออาชีพ งานทั้งหมดนี้หนักหนาไม่น้อยกว่าการเขียนหนังสือทั้งเล่ม ใช่! ถ้าจะทำ self-publishing เป็นเรื่องเป็นราว หนังสือที่เสร็จสมบูรณ์เป็นแค่ครึ่งแรก
บน Amazon มีหนังสือหลายล้านเล่ม นอกจากจะตั้งใจหาหนังสือของเราโดยเฉพาะ โอกาสที่คนจะเห็นหนังสือของเราแทบจะเป็นศูนย์ แต่ต่อให้มีคนเห็นก็เถอะ โอกาสที่เขาจะกดเข้ามาดูก็แทบไม่มี ยกเว้นเราจะเป็นคนดัง ไม่ก็เป็นเรื่องที่เขากำลังสนใจพอดี และแม้จะกดเข้ามาแล้ว โอกาสที่จะซื้อก็แทบเป็นไปไม่ได้ นอกจากเขาตั้งใจจะซื้ออยู่แล้ว เพื่อนแนะนำมา หรือไม่หนังสือเราก็ได้คะแนนสูงและมีรีวิวหลายร้อยรับประกัน อุปสรรคแต่ละอย่างแก้ได้ง่ายๆ ซะที่ไหน
การเพิ่มโอกาสให้คนเห็นหนังสือมีหลายวิธี อย่างเช่น ตั้งคำค้นหาให้เหมาะสมกับเนื้อหาหนังสือ (Amazon ให้เราตั้งได้ 7 กลุ่มคำ) แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้ง่ายๆ อย่างงั้น ถ้าคุณใช้คำค้นหาเหมือนกับหนังสือเล่มอื่นๆ หนังสือดังๆ ก็จะแสดงขึ้นมาก่อน และหนังสือของคุณก็จะไปอยู่หน้าไกลๆ (หน้าที่คนกดไปไม่ถึงนั่นแหละ) แต่จะตั้งคำค้นหาแบบเฉพาะเจาะจงก็ไม่ได้อีก เพราะไม่มีใครใช้ค้นหาตั้งแต่ต้น ทางที่ดีควรเลือกคำที่คนชอบใช้ค้นหาเอาไว้ก่อน ไปขึ้นหน้าท้ายๆ ก็ยังดีกว่าไม่ได้ขึ้นเลย เว็บอย่าง https://kindlepreneur.com/ สอนวิธีหาคำค้นหาที่คนชอบใช้
อีกวิธีที่จะช่วยให้คนเห็นหนังสือเราได้คือ ทำให้หนังสือติดอันดับขายดี ใครที่ค้นหาหนังสือตามหมวดหมู่ จะเห็นหนังสือขายดีขึ้นมาก่อน Amazon ให้เราเลือกเอาหนังสือไปอยู่ได้ 3 หมวดหมู่ กูรูทั้งหลายแนะนำว่าควรเลือกหมวดหมู่ที่การแข่งขันไม่สูง จะได้มีสิทธิ์ติดอันดับขายดี ผมคิดว่าควรเลือกหมวดหมู่ที่เกี่ยวข้องกับหนังสือจริงๆ มากกว่า ไม่งั้นถึงจะมีคนเจอ เขาก็ไม่ซื้ออยู่ดี และจริงๆ แล้วไม่ว่าจะหมวดหมู่ไหน การแข่งขันก็ไม่เคยเบาบาง อย่างหนังสือ All That Gas ของผมก็ควรอยู่หมวดเดียวกับหนังสือโลกร้อนอื่นๆ ใช่ไหมครับ ซึ่งแม้ว่าหมวดหมู่นี้จะมียอดขายต๊อกต๋อยขนาดไหน หนังสือของผมก็ยากที่จะแซง How to Avoid a Climate Disaster ของ Bill Gates ไปได้ ผมลองเอาหนังสือไปอยู่ในหมวด Teen Education ที่การแข่งขันต่ำกว่าดู ปรากฏว่าในช่วงแรกๆ ที่พอมียอดขายจากคนรู้จักบ้าง หนังสือก็ไต่อันดับขึ้นมาได้ แต่ก็แว็บเดียว แล้วก็จมหายไป
วิธีสุดท้ายที่จะทำให้คนเห็นหนังสือเราแน่ๆ คือการซื้อโฆษณา Amazon ซึ่งเว็บต่างๆ แนะนำว่าเป็นวิธีที่ได้ผล เพราะคนที่เข้า Amazon เขาตั้งใจมาซื้ออยู่แล้ว (แต่เล่มไหนล่ะ) ขั้นตอนการตั้งค่าโฆษณามีรายละเอียดให้คิดไม่น้อย อย่างเช่น จะใช้กลุ่มคำค้นหาอะไรบ้าง (คนละอันกับที่เล่ามาตะกี้นะครับ อันนี้เอาไว้โฆษณาโดยเฉพาะ) คำแนะนำบอกว่าต้องใช้คำค้นหามากกว่า 50 กลุ่มคำ โฆษณาถึงจะได้ผล โดยเราจะต้องตั้งราคาประมูลสำหรับแต่ละกลุ่มคำด้วย ถ้าตั้งน้อยกว่าคู่แข่ง Amazon ก็จะเลือกแสดงโฆษณาของคนอื่นก่อน นอกจากนั้นเรายังสามารถกำหนดตำแหน่งโฆษณาบนหน้าเว็บได้ด้วย (แต่ละตำแหน่งราคาไม่เท่ากัน) ท้ายสุดเราจะต้องคิดคำโฆษณาสั้นๆ สุดแสนเร้าใจ เพื่อล่อลวงให้คนกดเข้ามาดูและหลวมตัวซื้อในที่สุด
ข้อดีของโฆษณา Amazon คือ เราจะเสียค่าโฆษณาก็ต่อเมื่อคนกดดูเท่านั้น แค่แสดงโฆษณาขึ้นมาเฉยๆ ไม่นับ ดังนั้นนี่จึงเป็นช่วงเวลาที่ผมอยากเสียเงินเหลือเกิน ผมลองโฆษณาอยู่ 2-3 เดือน พบว่าโฆษณาถูกแสดงหลายพันครั้ง แต่มีคนกดดูไม่ถึงสิบ กูรูวิเคราะห์ว่าเป็นเพราะหน้าปกไม่ดึงดูดบ้าง คำโฆษณาไม่เร้าใจบ้าง ผมคิดว่ามันแค่ยากจริงๆ แหละที่จะให้คนกดดูโฆษณาหนังสือที่ตัวเองไม่รู้จัก นอกจากจะได้คะแนนสูงๆ และรีวิวเยอะๆ ซึ่งผมไม่มี
จำนวนรีวิวมีผลชี้เป็นชี้ตายต่อการขาย แล้วรีวิวเท่าไหร่ถึงจะพอ กูรูบอกว่าอย่างต่ำต้อง 30-50 ขึ้นไป ซึ่งผมก็เห็นด้วยนะ ปกติผมเองก็อยากอ่านรีวิวเยอะๆ ก่อนตัดสินใจเหมือนกัน หลายเว็บให้บริการรับจ้างรีวิวหนังสือ โดยเขาจะไปซื้อหนังสือของเราจริงๆ (อ่านจริงหรือเปล่าไม่รู้) เวลารีวิวจะได้สัญลักษณ์ verified purchase แน่นอนว่านอกจากจะผิดนโยบาย Amazon แล้ว ราคายังแพงมาก หลายพันเหรียญ ผมไม่ได้ใช้บริการนี้ ทำใจไม่ได้
ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่า self-publishing จะยากเย็นขนาดนี้ ตอนแรกที่หาข้อมูลเกี่ยวกับ self-publishing ผมใช้คำค้นหา อย่าง “วิธีการทำ self-publish” ไม่ก็เข้าไปเรียนรู้ขั้นตอนการทำอีบุ๊กจาก Amazon โดยตรง แน่นอนว่าข้อมูลที่ได้นั้นเอียงกะเท่เร่ ประมาณว่า self-publishing จะตัดตัวกลาง (สำนักพิมพ์) และเชื่อมโยงคุณกับผู้อ่านโดยตรง และคุณอาจเป็นนักเขียนขายดีคนถัดไป อ่านแล้วฮึกเหิมสุดๆ
ตอนนี้ผมรู้แล้วล่ะว่าความจริงมันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น และถ้าแค่เปลี่ยนคำค้นหาเป็น “โอกาสประสบสำเร็จในการทำ self-publishing” คุณก็จะได้คำตอบเป็นหนังคนละม้วน คุณจะพบความจริงว่าหนังสือ self-publishing โดยเฉลี่ยขายได้ไม่ถึง 100 เล่ม ถ้าไม่ทำการตลาดอย่างจริงจัง หนังสือหลายเล่มขายไม่ได้สักเล่ม และการพิมพ์ผ่านสำนักพิมพ์นั้นมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าเยอะ
ถึงตรงนี้ผมก็หมดใจทำการตลาดต่อ (จริงๆ ก็อายด้วยถ้าจะต้องทำอะไรโฉ่งฉ่างไปมากกว่านี้) และอยากพิมพ์หนังสือกับสำนักพิมพ์แล้ว
บทเรียนที่ได้จากเรื่องนี้คือ จะทำอะไรควรคิดให้รอบด้านก่อน และนั่นอาจหมายถึงการถอยหลังออกมาหนึ่งก้าวเพื่อประเมินสิ่งที่คิดจะทำ ถามว่าเสียใจไหม ตอบเลยว่า ไม่ ลองคิดดูสิครับว่าถ้าผมไปเจอว่าโอกาสทำอีบุ๊กสำเร็จแทบจะเป็นศูนย์ ผมก็คงไม่ทำอีบุ๊กและก็ไม่ได้ทำเรื่องต่างๆ ที่เล่ามา ความเฟลก็ไม่ได้มีรสขมขนาดนั้น
สำนักพิมพ์และเอเจนต์ในอเมริกา
การพิมพ์หนังสือผ่านสำนักพิมพ์ในอเมริกาทำได้สองวิธีคือ ส่งต้นฉบับให้สำนักพิมพ์พิจารณา ไม่ก็ผ่าน เอเจนต์ (literary agent)
ใครที่อยู่ในวงการหนังสืออาจเคยได้ยินคำว่าสำนักพิมพ์นิวยอร์ก ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ของวงการที่มีเครือข่ายจัดจำหน่ายทั่วโลกอย่าง Penguin/Random House, Hachette Book Group, Harper Collins, Simon and Schuster และ Macmillan (รวมๆ เรียก Big 5) ความฝันสูงสุดของนักเขียนหลายคนคือการได้พิมพ์หนังสือกับสำนักพิมพ์เหล่านี้ ความเป็นจริงคือสำนักพิมพ์พวกนี้เขาไม่เปิดรับต้นฉบับจากนักเขียน รับจากเอเจนต์เท่านั้น เอเจนต์รายไหนมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับสำนักพิมพ์เหล่านี้จะมีสิทธิ์เล่นตัวได้เต็มที่
ใครที่สงสัยว่าเอเจนต์เป็นใคร เขาก็คือแมวมองคัดเลือกต้นฉบับ เป็นตัวแทนนำเสนอต้นฉบับแก่สำนักพิมพ์ที่เขาเห็นว่าเหมาะสมหรือมีเส้นสายอยู่ พร้อมทั้งเจรจาต่อรองค่าลิขสิทธิ์กับสำนักพิมพ์ให้เรา โดยเขาจะคิดส่วนแบ่งจากค่าลิขสิทธิ์ที่ได้ เรื่องเกี่ยวกับเอเจนต์มีพูดถึงในหนังสือหลายเล่มเลยครับ อย่างใน On Writing ของ Stephen King นักเขียนนิยายสยองขวัญขายดีระดับโลกก็เล่าว่าก่อนจะเป็นที่รู้จัก เขาส่งต้นฉบับให้เอเจนต์พิจารณานับไม่ถ้วน ทุกครั้งที่ได้รับจดหมายปฏิเสธเขาก็จะตอกมันไว้กับข้างฝา เขาโดนปฏิเสธหลายต่อหลายครั้งจนจดหมายปฏิเสธกลายเป็นปึ๊งหนา ผมกำลังจะซาบซึ้งความลำบากของนักเขียนอเมริกันเข้าให้แล้ว
เอเจนต์จะเป็นบุคคลหรือบริษัทก็ได้ ธุรกิจนี้ในอเมริกาน่าจะมีขนาดใหญ่ทีเดียว เพราะมีเว็บรวบรวมข้อมูลเอเจนต์ว่าแต่ละรายสนใจต้นฉบับแนวไหน ผลงานที่ผ่านมามีอะไรบ้าง หลายเว็บเก็บเงินค่าค้นหาข้อมูลด้วย ทำกันเป็นเรื่องเป็นราวสุดๆ อย่างเว็บ Agent Query (https://agentquery.com/)
ถึงตรงนี้ผมมีสองทางเลือกคือ ส่งต้นฉบับให้สำนักพิมพ์ขนาดกลางหรือเล็ก ไม่ก็ส่งให้เอเจนต์ ผมเลือกทำทั้งสองทาง
ขั้นตอนการส่งต้นฉบับ non-fiction ในอเมริกาไม่ว่าจะให้สำนักพิมพ์หรือเอเจนต์พิจารณาก็คล้ายกัน คือ เราจะต้องส่ง proposal ให้เขาดู ใช่! เหมือนแผนธุรกิจนั่นแหละ ใน proposal จะต้องมีหัวข้อและรูปแบบตามที่แต่ละสำนักพิมพ์หรือเอเจนต์กำหนด เราจะต้องบอกเขาได้ว่ากลุ่มคนอ่านเป้าหมายของเราคือใคร หนังสือคู่แข่งมีเล่มไหนบ้าง แต่ละเล่มเหมือนหรือต่างจากของเรายังไง เราเป็นใครมาจากไหน โครงสร้างเนื้อหาในหนังสือเป็นอย่างไร พร้อมทั้งส่งตัวอย่างบางบทไปให้เขาดู แต่ทั้งหมดที่พูดมาไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด
หัวใจตัดสินว่าเขาจะรับต้นฉบับของเราหรือไม่คือ แพล็ตฟอร์มนักเขียน (author platform) ! เขาอยากรู้ว่าเรามีชื่อเสียงโด่งดังขนาดไหน มีตำแหน่งบริหารใหญ่โตหรือไม่ มีผู้ติดตามกี่คน มีอีเมลในสิสต์กี่รายชื่อ มีผลงานโดดเด่นมาก่อนหรือไม่ ยอดขายกี่เล่ม เขาอยากรู้ว่า “เรา” จะหาผู้อ่านให้เขาได้เท่าไหร่ พูดง่ายๆ ว่าถ้าไม่ดังอยู่แล้วก็แทบหมดสิทธิ์ (อันนี้อาจต่างกับนิยายที่จะให้ดูความน่าสนใจของเนื้อเรื่องมากกว่า)
ผมพอเข้าใจเรื่องกำไรขาดทุน แต่ก็อดเศร้าไม่ได้ว่าสำนักพิมพ์ส่วนใหญ่เกาะคนดังแทนที่จะคัดสรรหนังสือที่มีประโยชน์แก่ผู้อ่าน ถ้าถามว่าสำนักพิมพ์ไทยเป็นแบบนี้ด้วยหรือเปล่า ก็ต้องบอกว่ามีส่วน แต่ก็ไม่ทั้งหมด (อย่างน้อยซีเอ็ดกับพราวก็ยังพิมพ์หนังสือให้ผมใช่ไหมล่ะ) ชื่อเสียงและแสงไฟเป็นสิ่งสำคัญลำดับต้นๆ ในยุคนี้อย่างแท้จริง ไม่ต้องแปลกใจที่โลกโซเชียลจะเต็มไปด้วยอินฟลูเอ็นเซอร์ผู้เชี่ยวชาญและเราจะได้เห็นเขาเหล่านั้นบนปกหนังสือ
กลับมาที่การทำ proposal แน่นอนว่ามีข้อมูลที่ต้องเตรียมและเทคนิคที่ต้องใช้มากมาย เว็บที่อธิบายขั้นตอนอย่างละเอียดและอยากแนะนำคือของ Jane Friedman (https://www.janefriedman.com/) แต่ก็อย่างที่บอกแหละว่าสุดท้ายแล้วจะได้ไม่ได้อยู่ที่ความดังเป็นหลัก สำหรับผมที่อย่าว่าแต่ชื่อเสียงระดับโลกเลย แค่ในไทยก็ไม่มีใครรู้จักแล้ว แต่ไม่ว่ายังไงผมก็จะลองส่งไปอยู่ดีนั่นแหละ
ก่อนจะส่ง proposal เอเจนต์และสำนักพิมพ์หลายแห่งจะให้เราส่ง query letter ซึ่งเป็นสรุปของ proposal ยาวไม่เกินหนึ่งหน้าไปให้เขาดูก่อน แต่ละวันมีคนต้องการเสนอต้นฉบับให้เขาดูเยอะแยะ เขาไม่มีเวลาอ่าน proposal หรอก เอาแค่ query letter สั้นๆ พอ ถ้าเขาสนใจเขาจะตอบกลับเพื่อขอดู proposal อีกที แต่ถ้าไม่ตอบกลับก็เป็นเรื่องของเขานะ อย่าได้คิดอีเมลไปตาม และถ้าไม่ได้ขอก็กรุณาอย่าส่ง proposal ไปให้รกหูรกตา นั่นแหละ เอเจนต์และสำนักพิมพ์ชื่อดังในอเมริกาเย่อหยิ่งประมาณนั้น
ผมก็หลับหูหลับตาส่ง proposal ไปหาสำนักพิมพ์ 6 เจ้า เอเจนต์ 10 เจ้า (เจ้าที่ให้ส่ง query letter ไปก่อน ผมก็ทำตามกติกานะ) ได้รับอีเมลปฏิเสธอย่างสุภาพ 4-5 เจ้า นอกนั้นเงียบหาย ถึงตรงนี้ผมทำได้แค่ยอมแพ้
รอบนี้ผมไม่ค่อยเสียใจเท่าไหร่เพราะไม่ได้คาดหวังอยู่แล้ว การตัดสินใจลองส่ง proposal ไปเป็นเรื่องที่ดี ลองไม่ได้ทำสิ ต้องค้างคาใจไปตลอดแน่
บทเรียนที่ได้จากการทำ self-publishing บน Amazon และการนำเสนอต้นฉบับให้สำนักพิมพ์หรือเอเจนต์ต่างประเทศคือ ถ้าอยากเขียนหนังสือ non-fiction ในอเมริกา สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างแพล็ตฟอร์มนักเขียน หรือไม่คุณก็ต้องพยามไต่เต้าให้ได้เป็นผู้บริหารของบริษัทระดับโลก
การพิมพ์หนังสือเอง
หลังจากซึมๆ อยู่ได้ไม่นาน ก็มีไอเดียใหม่ ทำไมเราไม่แปลหนังสือเป็นภาษาไทยล่ะ
คิดแล้วก็ต้องทำถูกมะ เนื้อหาก็มีแล้ว ภาพประกอบก็มีแล้ว เหลือแค่งานแปล ซึ่งสบายมาก ขั้นตอนนี้ทำได้อย่างราบรื่น หนังสือฉบับภาษาไทยลื่นไหลกว่าฉบับภาษาอังกฤษเยอะ ผมตั้งชื่อหนังสือภาษาไทยว่า ใครปล่อยแก๊ส! อ่านแล้วเขินดี พอต้นฉบับเสร็จแล้วก็ต้องคิดต่อว่าจะพิมพ์ยังไง จะพิมพ์กับสำนักพิมพ์ หรือจะออกเงินพิมพ์เอง
การพิมพ์หนังสือกับสำนักพิมพ์มีข้อดีคือ เขาจะช่วยแก้ไขปรับปรุงต้นฉบับ ตรวจคำผิด จัดรูปเล่ม ทำภาพประกอบ ดีไซน์ปก พร้อมจัดพิมพ์และจัดจำหน่ายให้เสร็จสรรพ เราแค่คอยตรวจสอบระหว่างทางว่าที่เขาทำมามีอะไรตกหล่นหรือเปล่า ไม่ต้องออกทุน รอรับค่าลิขสิทธิ์เมื่อหนังสือขายได้อย่างเดียว โดยทั่วไปเรทของนักเขียนโนเนมคือ 10% ของราคาปก ข้อดีอีกอย่างคือเราจะได้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์จากสำนักพิมพ์ อย่างเช่น ควรใช้กระดาษเนื้ออะไร ปกสีอะไร เขาอยู่ในวงการ รู้อยู่แล้วว่าแบบไหนขายดี นอกจากนั้นชื่อเสียงและเครือข่ายของเขายังช่วยให้หนังสือเราเข้าถึงคนอ่านได้มากขึ้นด้วย แต่การพิมพ์หนังสือกับสำนักพิมพ์ก็มีข้อเสียเหมือนกัน กระบวนการทั้งหมดที่เล่ามานั้นทางสำนักพิมพ์เป็นคนดูแล ซึ่งปกติเขาก็มีต้นฉบับที่ต้องดูแลในมืออยู่แล้วหลายเล่ม ดังนั้นเราจะต้องรอคิวและอาจรู้สึกไม่ทันใจ นอกจากนั้นถึงแม้เขาจะให้เราตรวจสอบและแก้ไขงานได้ แต่เราก็ไม่สามารถจับมือทีมงานทำได้ดั่งใจ จะจุกจิกจู้จี้แก้โน่นแก้นี่บ่อยๆ ก็ไม่ดี
สำหรับการพิมพ์เอง เราจะต้องทำงานทุกขั้นตอนจนหนังสือออกมาเป็นเล่มๆ ส่วนการจะให้หนังสือของเราไปอยู่บนชั้นหนังสือในร้านหนังสือทั่วประเทศ เราต้องอาศัยสิ่งที่เรียกว่า สายส่ง (distributor) ข้อดีของการพิมพ์เองคือไม่ต้องรอคิว ส่วนข้อเสียก็คือเราต้องควบคุมคุณภาพการผลิตอย่างใกล้ชิดทุกขั้นตอน และที่สำคัญ เราจะต้องออกทุนเอง ถ้าขายได้ไม่มากพอ เราจะขาดทุน
ประสบการณ์จากหนังสือภาษาไทยสองเล่มก่อนหน้าที่ถูกสำนักพิมพ์ปฏิเสธมานับครั้งไม่ถ้วนบอกผมว่าอาจไม่มีมีสำนักพิมพ์ไหนพิมพ์ให้ ยิ่งเป็นเรื่องโลกร้อนที่ไม่น่าจะทำเงิน แถมคนเขียนเป็นใครก็ไม่รู้ (เออ ถ้าเป็นวรรณสิงห์ก็ว่าไปอย่าง) ยิ่งอย่าได้หวัง ผมเลยลองส่งต้นฉบับไปแค่ 4-5 ที่ พอเป็นพิธี และก็เป็นไปตามคาด เงียบกริบ
ผมตั้งใจไว้แต่แรกแล้วว่ายังไงก็จะต้องพิมพ์หนังสือออกมาให้ได้ ผมลองคำนวณว่าการพิมพ์หนังสือเองต้องใช้เงินเท่าไหร่ ขาดทุนสูงสุดได้เท่าไหร่ และถ้าเกิดปาฏิหาริย์ (ไม่มีจริง) จะได้กำไรเท่าไหร่ เอาน่า ไม่ต้องคิดมาก ถือเป็นค่าวิชา เจ๊งเป็นเจ๊ง
ขั้นแรกคือการปรับปรุงต้นฉบับและแก้คำผิด ผมจ้างฟรีแลนซ์จาก fastwork.co ซึ่งมีฟรีแลนซ์ทำงานหลายชนิด ผมจ้างบรรณาธิการสองคนเลย เผื่อมีใครตกหล่นหรือให้คำแนะนำที่ดีกว่า สิ่งที่สังเกตได้คือ ค่าบริการถูกกว่าตอนตรวจต้นฉบับภาษาอังกฤษเยอะและคิวงานก็สั้นกว่าด้วย ต้นฉบับไม่มีอะไรต้องแก้มาก คำบางคำไม่อยากแก้แต่ก็จำใจ อย่างเช่น ต้องสะกดว่า “บุ๊ก” แทน “บุ๊ค” อันหลังน่าจะถูกกว่าเห็นๆ แต่ก็ทำตามราชบัณฑิต บางเรื่องก็จงใจทำผิด เช่น การไม่เว้นวรรคหน้าไม้ยมก ผมว่ามันอ่านง่ายกว่า และเหตุผลที่ต้องเว้นวรรคก็มาจากสมัยโบราณที่ไม้ยมกเขียนเหมือนเลขสองไทยโน่น คือมีตวัดหางขึ้นด้วย เลยต้องเว้นวรรคกันสับสน สมัยนี้เราไม่ค่อยได้ใช้เลขไทยกันแล้ว หางของไม้ยมกก็ตกลงมาแล้วด้วย แต่กฎก็ยังไม่แก้เสียที
สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือการจัดหน้า ผมขอเล่าให้ฟังสั้นๆ ก่อน เผื่อบางคนนึกไม่ออกว่าทำไมต้องทำ ถ้าลองเปิดหนังสือเล่มไหนสักเล่มดู เราจะเห็นตัวหนังสือในแต่ละบรรทัดชิดทั้งขอบซ้ายขวา หลายคนรู้ว่าวิธีทำในไมโครซอฟท์เวิร์ดก็ง่ายๆ แค่กดปุ่ม Justify ที่จะขยายระยะเว้นวรรคในแต่ละบรรทัด ไม่ก็ปุ่ม Thai distributed ที่จะขยายช่องไฟระหว่างตัวอักษร ซึ่งก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่การทำหนังสือให้ดูมืออาชีพเราจะต้องดูการตัดบรรทัดด้วย อย่างถ้าเขียนว่า “…เราปล่อยก๊าซเรือนกระจกคนละ 5-6 ตันต่อปี…” แล้วเวิร์ดบังเอิญตัดบรรทัดหลังตัวเลข เอาหน่วยไปขึ้นบรรทัดใหม่ แบบนี้คนอ่านก็คงเสียอารมณ์ ปัญหาจะยิ่งทวีความรุนแรงถ้าหนังสือมีคำศัพท์ยาวๆ เยอะ (เช่น คาร์บอนไดออกไซด์) และหน้ากระดาษแคบ เพราะมีโอกาสตัดบรรทัดโดนกลางคำได้ง่าย จะฝืนเขียนจนจบคำ ตัวอักษรก็จะเบียดกัน จะตัดคำไปไว้บรรทัดใหม่ ตัวอักษรก็ดูโหรงเหรง การจัดหน้าหนังสือต้องทำบรรทัดต่อบรรทัด
ก่อนจะจ้างนักจัดหน้าหนังสือ เราต้องรู้ขนาดหน้ากระดาษของเราเสียก่อน ผมโทรไปหาโรงพิมพ์ที่หมายตาไว้ ถามว่าเขาพิมพ์หนังสือขนาดไหนได้บ้าง เขาบอกว่าพิมพ์ได้ทุกขนาด ผมเลือกขนาด 12.7 x 18.5 ซม. ซึ่งเล็กกว่าพ็อกเก็ตบุ๊ก A5 นิดหน่อย ดูน่ารัก พกพาง่าย
นักจัดหน้าส่วนใหญ่จะใช้โปรแกรม InDesign ซึ่งเกิดมาเพื่อออกแบบสิ่งพิมพ์โดยเฉพาะ เขาจะก๊อปปี้ต้นฉบับของเราไปเรียงใหม่ ขั้นตอนทำมือนี้พร้อมนำสารพัดความผิดพลาดมาให้ เนื้อหาบางส่วนอาจตกหล่น คำผิดอาจงอกขึ้นมา ดังนั้นเราต้องตรวจแล้วตรวจอีกเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด
เราต้องบอกเขาด้วยว่าจะใช้ฟอนต์อะไร ขนาดเท่าไหร่ ส่วนใหญ่นักจัดหน้าจะแนะนำให้เราใช้ฟอนต์ฟรีอย่าง TH Sarabun หรือ Cordia New ซึ่งตรงนี้การทำงานกับสำนักพิมพ์จะได้เปรียบ เพราะเขามีฟอนต์สวยๆ ให้ใช้ กูเกิลบอกว่านักจัดหน้ามืออาชีพหลายคนมีฟอนต์ถูกลิขสิทธิ์ให้เลือกใช้ด้วย แต่ผมก็ยังไม่เคยเจอนะ ตรงนี้ไม่เป็นปัญหาเพราะผมคิดว่าฟอนต์ TH Sarabun ก็ดูสวยดี
ข้อดีของการใช้โปรแกรมออกแบบคือนักจัดหน้าจะกำหนดระยะต่างๆ ได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นระยะจากสันปกหรือระยะตัดตก แต่สุดท้ายคุณภาพผลงานก็ขึ้นกับความเชี่ยวชาญของนักจัดหน้าอยู่ดี อย่างคนที่ผมจ้างก็ลืมเว้นระยะสันปกทั้งที่อธิบายกันไว้ดิบดีตั้งแต่แรก (ตัวหนังสือฝั่งสันปกต้องเว้นจากขอบกระดาษมากหน่อยเพราะหนังสือสันกาวกางได้ไม่สุด) กว่าจะรู้ตัวก็ตอนพิมพ์เล่มทดลองออกมาแล้ว พอผมทักท้วงไป เขาก็บอกว่าจะรีบแก้ให้ แต่ตอนนี้คิวงานเขาเยอะ ขอเก็บค่าบริการเพิ่ม เอิ่ม…พูดถึงความเป็นมืออาชีพ
พอจัดหน้าเสร็จก็เริ่มทำปก ผมเคยทำปกฉบับภาษาอังกฤษมาแล้วเลยมีความมั่นใจออกแบบปกภาษาไทยเอง ตัวหนังสือบนหน้าปกควรจะใช้ฟอนต์หนาและโดดเด่น คนจัดหน้าแนะนำให้ลองใช้ฟอนต์ฟรีชื่อ อนาคตใหม่ ชื่อคุ้นๆ แฮะ พอค้นหาข้อมูลดูก็พบว่ามาจากพรรคการเมืองจริงๆ นี่ถ้าทุกพรรคทำฟอนต์แจกแบบนี้ก็ดีสิ
เมื่อทุกอย่างเสร็จก็ต้องขอ ISBN ซึ่งผมเล่าไว้แล้วในตอนต้นว่าง่ายดายมาก ส่วนที่ต้องทำเพิ่มคือการสร้างบาร์โค้ด ISBN 13 หลัก เพื่อแปะบนปกหลัง เว็บสร้างบาร์โค้ดฟรีมีให้เลือกหลายเว็บ อย่างเช่น https://barcode.tec-it.com/en
ก่อนจะไปจ้างโรงพิมพ์พิมพ์หนังสือ เราจะต้องหาสายส่งให้ได้เสียก่อน ขืนพิมพ์มาแล้วไม่มีใครจัดจำหน่ายให้ละก็แย่แน่ สายส่งในเมืองไทยมีหลักๆ สามเจ้าคือ ซีเอ็ด อัมรินทร์ และเคล็ดไทย ค่าจัดจำหน่ายใกล้เคียงกันคือ 42%-45% ของราคาปก แพงมากเลยใช่ไหมครับ อย่างว่าแหละการขายสำคัญสุด ผมคิดว่าน่าจะหาสายส่งได้ไม่ยากเพราะเราออกเงินพิมพ์หนังสือเอง เขาแค่เพิ่มหนังสือเราอีกหนึ่งเล่มในกระบวนการจัดจำหน่ายซึ่งทำเป็นปกติอยู่แล้ว และก็จะได้ส่วนแบ่งตั้งเยอะ ผมคิดผิดถนัด
กำไรขาดทุนยังคงเป็นไม้บรรทัดตัดสินจนถึงขั้นตอนสุดท้าย ถ้าสายส่งเห็นว่าหนังสือเราจะขายได้น้อย เขาก็จะไม่ส่งให้เราเพราะไม่คุ้ม ผมต้องลุ้นจนถึงสายส่งสุดท้าย โชคดีที่เคล็ดไทยเมตตาจัดจำหน่ายให้ ขอบคุณจริงๆ ครับ (ไม่รู้ว่าทำเขาขาดทุนหรือเปล่านะ) นึกไม่ออกเลยว่าถ้าหาสายส่งไม่ได้ผมจะทำยังไงต่อ เมื่อมองในแง่ธุรกิจสายส่งที่ปฏิเสธผมเขาอาจคิดไม่ผิด ผมเดินตามร้านหนังสือเห็นหนังสือ How to Avoid a Climate Disaster ฉบับแปลภาษาไทยวางอยู่แค่ไม่กี่เล่ม ยอดขายน่าจะไม่มากเท่าไหร่ นี่ขนาดของ Bill Gates นะ (แต่ฉบับภาษาอังกฤษดูเหมือนขายดี)
มาถึงขั้นตอนการพิมพ์ เราต้องเลือกว่าจะพิมพ์สีหรือขาวดำ ผมเลือกพิมพ์สีแม้จะแพงกว่าเยอะ แหม อุตส่าห์วาดรูปเองทั้งที ต่อมาก็เลือกว่าจะพิมพ์แบบดิจิตอลหรือออฟเซ็ต สำหรับการพิมพ์แบบดิจิตอลเราจะพิมพ์กี่เล่มก็ได้ ไม่มีขั้นต่ำ แต่ราคาต่อหน่วยแพงและดูเป็นมือสมัครเล่น ส่วนการพิมพ์แบบออฟเซ็ตเราจะต้องพิมพ์พันเล่มขึ้นไปถึงจะคุ้ม เพราะโรงพิมพ์ต้องสร้างแม่พิมพ์ขึ้นมา ดังนั้นเราจะต้องลงทุนค่อนข้างเยอะ แต่ก็มีข้อดีคือ ยิ่งพิมพ์เยอะยิ่งถูก และที่สำคัญหนังสือของเราจะดูแมส แบบว่าพิมพ์ออกมาเยอะ ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง แน่นอนว่าเพื่อผู้อ่านที่รัก ผมเลือกแบบออฟเซ็ต
ผมเลือกโรงพิมพ์กู๊ดเฮดเพราะประทับใจตั้งแต่ตอนที่เขาเสนอราคาแบบตรงไปตรงมา กู๊ดเฮดช่วยแนะนำผมตลอดทุกขั้นตอนการพิมพ์ ผมเลือกใช้กระดาษถนอมสายตาซึ่งสีจะออกเหลืองๆ บางคนอาจไม่ค่อยชอบเพราะทำให้สีที่พิมพ์ไม่สด แต่ผมว่าอ่านสบายตาดี ส่วนหน้าปกผมก็ทำสปอตยูวีตรงตัวสัตว์ประหลาดกับชื่อหนังสือเพื่อเป็นกิมมิค กู๊ดเฮดบอกว่าจะทำที่คั่นหนังสือแถมให้ด้วย ผมเลยเอาความรู้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับโลกร้อนใส่ลงไป อย่างเช่น น้ำมันเบนซินหนึ่งลิตรปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 2.3 กิโลกรัม
จุดสำคัญอีกอย่างที่ทำให้ผมเลือกกู๊ดเฮดอย่างไม่ลังเลก็คือ โรงพิมพ์สามารถคำนวนคาร์บอนฟุตปรินท์จากการพิมพ์ แถมยังออกโลโก้ให้ได้ด้วย เข้าทางชัดๆ หนังสือใครปล่อยแก๊ส! แต่ละเล่มสร้างคาร์บอนฟุตปรินท์ 1.123 กิโลกรัม โดยโรงพิมพ์ส่งรายการคำนวณให้ดูละเอียดยิบ พอได้โลโก้มาก็แปะบนหน้าปกมันซะเลย สิ่งที่ไม่แน่ใจจนถึงทุกวันนี้คือทำไมโลโก้ถึงเขียนว่า “สิ่งพิมพ์นี้ ลดโลกร้อน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก” เฮ้ย! เราเป็นตัวปล่อยก๊าซไม่ใช่เหรอ เดาว่าอาจจะปล่อยน้อยกว่าการผลิตจากโรงพิมพ์อื่นๆ (มั้ง)
พอโรงพิมพ์พิมพ์เสร็จเขาก็ส่งหนังสือให้เคล็ดไทยโดยตรง เคล็ดไทยทำการจัดเก็บและกระจายหนังสือไปตามร้านหนังสือ อย่างน้อยตอนนี้ผมก็จะได้เห็นหนังสือของตัวเองตามร้านหนังสือแล้ว!
วนลูป
ปัญหาเดิมๆ หมุนวนมาอีกครั้ง หนังสือของผมยังคงขายได้ไม่มากแม้จะปรากฏตัวตามร้านหนังสือแล้วก็ตาม สาเหตุก็น่าจะเพราะเนื้อหาของหนังสือที่มีกลุ่มผู้อ่านไม่มาก ผู้เขียนก็ไม่ดัง หนังสือก็ไม่ได้วางเด่นหน้าร้าน แต่ละร้านก็วางแค่ไม่กี่เล่ม ใครเคยผ่านตาถือว่าโชคชะตาพานพบ
ผมติดต่อเพจเกี่ยวกับโลกร้อนและสิ่งแวดล้อมเพื่อส่งหนังสือไปให้ อย่างน้อยก็อยากให้ความรู้ที่รวบรวมมาไปอยู่ในมือของคนที่สนใจ ทุกเพจตอบรับเป็นอย่างดี หลายเพจเอาหนังสือไปแจกต่อ ไปเล่นเกม ไปช่วยโปรโมทให้ ขอบคุณมากเลยครับ นอกจากจะแจกหนังสือแล้ว ผมยังลองยิงแอดบนเฟสบุ๊กดูด้วยเล็กน้อย ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนแชทเข้ามาสั่งซื้อหนังสือจริงๆ แต่พอลองคำนวณกำไรกับค่ายิงแอดก็พบว่ายังขาดทุนนิดหน่อย หลังจากครบกำหนดโฆษณาสองอาทิตย์ ผมก็ไม่ได้ยิงต่อ
“หลังจากลองผิดลองถูกมาสารพัด ในที่สุดหนังสือของผมก็ขายดีจนได้!” ใครที่หวังจะเห็นตอบจบแบบนี้ก็เสียใจด้วย ผมยังคงขาดทุน และหนังสือก็ยังคงขายไม่ดี
เอ้า! ก็บอกแต่แรกแล้วไงว่าจะเล่าเรื่องเฟล