โลกร้อนเป็นปัญหาที่ต้องแก้ทั้งระบบ และสิ่งที่อาจจะมีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหามากที่สุด (พอๆ กับที่เป็นตัวสร้างปัญหา) ก็คือ “เงิน”
เราแก้ปัญหาโลกร้อนกันเอง (ตรงๆ) ไม่ได้!
ทุกคนช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ แต่ถึงแม้จะมุ่งมั่นขนาดไหน ก็ลดได้เพียงบางส่วน
เพราะทุกครั้งที่เราขับรถ เราจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 2.3 กิโลกรัม ต่อน้ำมัน 1 ลิตร ทุกครั้งที่เราเปิดสวิตช์ไฟ เราจะปล่อยก๊าซ 0.44 กิโลกรัม ต่อไฟฟ้า 1 หน่วย (ไฟฟ้าในประเทศไทยผลิตจากก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก) และทุกครั้งที่เรากินหรือใช้อะไรก็ตาม เราก็ได้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมด้วยเหมือนกัน
จะคาดหวังให้ทุกคนมีพื้นที่เพียงพอและลงทุนติด solar PV พร้อมทั้งซื้อแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ไว้เก็บไฟ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ ลำพังแค่หาเงินซื้อคอนโดดีๆ สักห้องยังลำบาก
แต่ถ้าสมมติว่าการไฟฟ้าผลิตไฟจากพลังงานสะอาดทั้งหมด คราวนี้เราก็จะใช้ไฟได้อย่างสบายใจ จะเอาไปชาร์จรถไฟฟ้าด้วยก็ได้ หรือถ้าบริษัทต่างๆ ทำการลดและออฟเซ็ตการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดกระบวนการผลิต เราก็จะกินใช้ได้อย่างไม่รู้สึกผิด
เพราะฉะนั้นหน้าที่ของทุกคนก็คือ สนับสนุนองค์กรและบริษัทต่างๆ ให้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ และแบนพวกที่ยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบไม่สนใจโลก
คำถามคือ เราจะรู้ได้ยังไงว่าบริษัทดีต่อโลก?
Task Force on Climate-Related Financial Disclosure (TCFD)
เมื่อปี 2015 กลุ่มประเทศ G20 ได้ให้คณะกรรมการดูแลเสถียรภาพทางการเงิน (Financial Stability Board, FSB) ไปดูว่าเวลาที่ภาคการเงินนำเงินไปให้กู้ ไปลงทุน หรือ ไปรับประกันบริษัทต่างๆ นั้น ได้พิจารณาผลของ climate change มากน้อยขนาดไหน ปรากฏว่าภาคการเงินมีข้อมูลเรื่องพวกนี้ไม่เพียงพอ (อ้าว) FSB เลยออกคำแนะนำการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวกับ climate change ที่ชื่อว่า TCFD ในปี 2017
เป้าหมายก็เพื่อให้บริษัทต่างๆ เปิดเผยข้อมูลในการจัดการกับความเสี่ยงและโอกาสจาก climate change พอบริษัทต่างๆ เปิดเผยข้อมูล ก็หวังว่าเงินทุนจากภาคการเงินก็จะไหลไปในที่ที่ถูกที่ควร
ไอเดียแจ่มเลยใช่ไหมครับ
TCFD แนะนำให้องค์กรต่างๆ เปิดเผยข้อมูล 4 ส่วน ประกอบด้วย
- Governance โดยให้เปิดเผยการกำกับดูแลความเสี่ยงและโอกาสจาก climate change
- Strategy โดยให้เปิดเผยผลกระทบจากความเสี่ยงและโอกาสจาก climate change ที่มีต่อกิจการ กลยุทธ์ และ การวางแผนการเงิน (ทั้งที่เกิดขึ้นแล้วและอาจเกิดขึ้นในอนาคต)
- Risk management โดยให้เปิดเผยวิธีการระบุ ประเมิน และจัดการความเสี่ยง climate change
- Metrics and targets โดยให้เปิดเผยตัววัดและเกณฑ์ที่ให้ประเมินและจัดการความเสี่ยงและโอกาสจาก climate change
ซึ่งในคำแนะนำก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะแยะเลยครับ ใครที่สนใจก็ลองอ่านได้ที่นี่
เรื่องที่ยังต้องคอยติดตามก็คือ TCFD นั้นเป็นคำแนะนำที่ให้ทำโดยสมัครใจ บริษัทไหนจะเลือกทำหรือไม่ทำก็ได้ แต่ตอนนี้บางประเทศก็เริ่มกำหนดให้ TCFD เป็นข้อบังคับแล้ว โดยประเทศนิวซีแลนด์เป็นประเทศแรกที่บังคับใช้ TCFD (เริ่มใช้กับงบการเงินปี 2022) จีน สวิตซ์ และ กลุ่มประเทศ G7 ก็ตกลงที่จะบังคับใช้ TCFD ด้วยเหมือนกัน ส่วนสิงคโปร์กับมาเลเซียก็เริ่มพูดถึงเรื่องนี้แล้ว
เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเราก็คือ สนับสนุนให้ประเทศไทยบังคับใช้ TCFD
บริษัทในประเทศไทยหลายบริษัทก็เริ่มที่จะเปิดเผยข้อมูลตาม TCFD แล้ว (แต่อาจจะไม่ทุกข้อ) นอกจากนั้นบริษัทไหนที่เห็นดีเห็นงามกับ TCFD ก็สามารถลงชื่อเป็นผู้สนับสนุนได้ ถ้าอยากรู้ว่าบริษัทไหนประกาศตัวสนับสนุน TCFD บ้าง ก็ดูได้ที่นี่ครับ
เอาล่ะ สมมติว่าบริษัทต่างๆ ใช้ TCFD แล้ว เราจะรู้ได้ยังไงว่าบริษัทไหนจัดการ climate change ได้ดีกว่ากัน? (TCFD แนะนำให้เปิดเผยข้อมูลเฉยๆ ไม่ได้บอกว่าการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทไหนดีหรือไม่ดีอย่างไร)
เราต้องมารู้จักระบบการเปิดเผยข้อมูลอีกตัว
Carbon Disclosure Project (CDP)
CDP เป็นระบบเปิดเผยข้อมูลว่าองค์กรต่างๆ จัดการผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร โดยนอกจากเรื่อง climate change แล้ว ยังครอบคลุมการจัดการแหล่งน้ำกับป่าไม้เข้าไปด้วย ซึ่งในเรื่อง climate change นั้น CDP บอกว่าการเปิดเผยข้อมูลของตัวเองนั้นสอดคล้องกับคำแนะนำ TCFD
วิธีการก็คือ ให้บริษัทต่างๆ เข้าไปตอบชุดคำถาม “มาตรฐาน” ของแต่ละภาคอุตสาหกรรม ทีนี้พอทุกบริษัทตอบชุดคำถามเดียวกัน CDP ก็สามารถตัดเกรดได้ อยากรู้ว่าบริษัทไหนได้เกรดอะไรก็ดูได้ที่นี่ (เลื่อนไปดูด้านล่างสุดในลิงค์) ซึ่งปีที่ผ่านมาก็มีบริษัทไทย 1 บริษัทที่ได้เกรด A ด้วยนะ
แต่แม้ว่าเกรด A จะเยี่ยมยอดก็ไม่ได้หมายความว่าบริษัทนั้นๆ จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามข้อตกลงปารีสได้
ถ้าอยากรู้ว่าบริษัทไหนตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อทำให้โลกร้อนไม่เกิน 2 องศา หรือ 1.5 องศา เราจะต้องรู้จักความร่วมมืออีกตัวหนึ่ง
Science Based Targets initiative (SBTi)
ข้อตกลงปารีสนั้นชัดเจนคือ ควบคุมให้โลกร้อนขึ้นไม่เกิน 2 องศา โดยตั้งเป้าหมายพยามให้ร้อนขึ้นไม่เกิน 1.5 องศา เมื่อเทียบกับก่อนยุคอุตสาหกรรม และเพื่อที่จะทำให้เป้าหมาย 1.5 องศา เป็นจริง โลกก็จะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เหลือครึ่งเดียวภายในปี 2030 และ ทำให้การปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2050
SBTi เข้าไปช่วยและตรวจสอบว่าบริษัทต่างๆ ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซของบริษัทสอดคล้องกับเป้าหมาย 2 องศา หรือ 1.5 องศา ตามข้อตกลงปารีสหรือไม่
แน่นอนว่าการตั้งเป้าหมายของแต่ละบริษัทนั้นมีความยากง่ายต่างกันมาก จะให้บริษัทขุดเจาะน้ำมันตั้งเป้าหมาย 1.5 องศา ก็ท้าทายกว่าบริษัทผลิตซอฟต์แวร์เยอะ
ใครอยากรู้ว่าบริษัทไหนได้ตั้งเป้าหมายสอดคล้องกับข้อตกลงปารีสไปแล้วบ้าง ก็ดูได้ที่นี่ครับ ถ้าเข้าไปดูตามลิงค์จะเห็นว่ามีบริษัทไทย 2 บริษัท ได้แก่ Starboard LTD กับ Future Parts Industry Public Company Limited ที่ตั้งเป้าหมาย 1.5 องศา ไปเรียบร้อยแล้ว (สุดยอดมากครับ ขอชื่นชม) ส่วนบริษัทที่เขียนว่า “Committed” ก็แปลว่าประกาศเจตนารมณ์ไปแล้ว แต่ยังไม่ได้ส่งเป้าหมายไปให้ SBTi ตรวจสอบ
อย่างที่เล่าไปตอนต้นครับว่า ถ้าเราสนับสนุนให้ทุกบริษัทลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้สอดคล้องกับข้อตกลงปารีส เราก็มีหวังที่จะแก้ปัญหาโลกร้อนได้
และนี่ก็เป็นความพยามสำคัญอีกอย่างที่คนทั้งโลกกำลังทำเพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน แน่นอนว่าคงจะไม่ราบรื่นไปซะทุกอย่างและก็จะต้องเจออุปสรรคอีกมาก แต่ยังไงก็อย่าเพิ่งสิ้นหวังกับมนุษยชาติของเราไปเสียก่อนนะครับ