อย่างที่ทราบกันครับว่า เพจสร้างพอร์ลงทุนที่ตัวคุณมั่นใจเราเน้นการลงทุนระยะยาวแบบ ถือไปเรื่อยๆ โดยใช้หลักการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท หลายประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงและทำให้ได้ผลตอบแทนคุ้มค้า
ด้วยหลักการเรียบง่ายแบบนี้ ปกติผมก็ไม่ค่อยมีอัพเดทอะไร แต่วันนี้อยากจะขออัพเดทมุมมองที่คิดว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงใหญ่สักหน่อย
ความที่ระยะเวลาเป้าหมายการลงทุนของเราคือ ตลอดกาล เราต้องมั่นใจว่า สินทรัพย์ที่เราลงทุนจะต้องมีราคาเพิ่มขึ้นในระยะยาว ถ้าไม่แน่ใจอย่างนั้น อย่าเอาเข้าพอร์ตแต่แรกเลยดีกว่า
ในหนังสือสร้างพอร์ตลงทุนที่ตัวคุณมั่นใจที่ออกปี 2021 ผมได้แนะนำสินทรัพย์ลงทุนประเภทหลักๆ อย่าง หุ้น บอนด์ อสังหาริมทรัพย์ และ สินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งสำหรับสินค้าโภคภัณฑ์ ผมก็ได้แนะนำสินทรัพย์ยอดฮิตอย่าง ทองคำ และ น้ำมัน
อย่างที่ได้เล่าไปในหนังสือครับว่า ผมไม่แน่ใจว่าทำไมทองคำถึงได้มีค่านัก แต่เอาเป็นว่าถ้าโลกเรายังให้เครดิตเจ้าโลหะแวววาวชนิดนี้ ทองคำก็น่าจะยังมีราคาสูงขึ้นต่อไป
ส่วนน้ำมันที่สามารถนำมาใช้เป็นพลังงานได้นั้น ตัวมันเองมีค่าแน่ๆ และยิ่งมีปริมาณจำกัดด้วย อย่างนี้ยิ่งต้องเป็นสินทรัพย์ลงทุนที่ดีใช่ไหมครับ แต่…ตอนนี้ผมมีมุมมองเปลี่ยนไปแล้วครับ!
ถ้าใครติดตามข่าวสารอยู่เป็นประจำ คงสังเกตหรือได้ยินใช่ไหมครับว่ากระแสปัญหาโลกร้อนนั้นมาแรงสุดๆ (จริงๆ แค่ออกจากบ้านก็น่าจะต้องเห็นป้าย โปสเตอร์ แคมเปญรณรงค์ เรื่องนี้ผ่านตาบ้าง) และทางแก้หลักก็คือ การผลิตและใช้พลังงานสะอาด อย่างพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ทดแทนการใช้พลังงานฟอสซิล
ผมให้ข้อมูลสั้นๆ ก่อนนะครับว่า พลังงานสะอาดอย่างแสงอาทิตย์และลมนั้น มีปริมาณล้นเหลือ แต่ที่ผ่านมาราคาแพงกว่าพลังงานฟอสซิล จนมาระยะหลังนี้ ด้วยเทคโนโลยีที่ดีขึ้น พลังงานสะอาดก็ทำราคาสู้พลังงานฟอสซิลได้แล้ว แต่ถ้าจะเทียบราคาหน่วยต่อหน่วยแบบนี้ จริงๆ แล้วก็ไม่ยุติธรรมกับพลังงานฟอสซิลเท่าไหร่ เพราะว่าพลังงานฟอสซิลมีข้อดีที่พลังงานสะอาดสู้ไม่ได้
เวลาเราอยู่บ้าน เปิดไฟปุ๊บ ไฟมาปั๊บ ใช่ไหมครับ นั่นแปลว่าไฟฟ้าต้องมีให้เราพร้อมใช้ทุกเมื่อ ซึ่งพลังงานฟอสซิลตอบโจทย์นี้ได้ดี เอาก๊าซธรรมชาติไปปั่นไฟเมื่อไหร่ ก็ได้ไฟเมื่อนั้น (จริงๆ มันก็ต้องมีเวลาวอร์มเครื่องล่ะนะ แต่เอาแบบง่ายๆ ก่อน) แต่พลังงานสะอาดมันไม่เป็นอย่างนั้นสิครับ ถ้าแดดไม่ออกซะอย่าง ถึงจะตั้งแผงโซล่าไว้ก็ไร้ประโยชน์ นั้นแปลว่า ถ้าจะใช้พลังงานสะอาดอย่างเดียว เราจะต้องผลิตไฟให้ได้เยอะๆ เก็บไว้ใช้ตอนที่แดดไม่ออกหรือลมไม่พัด พอคิดอย่างนี้แล้ว เราก็ต้องรวมค่ากักเก็บพลังงาน อย่างแบตเตอรี่ หรือ เขื่อนเก็บน้ำ (เอาพลังงานสะอาดที่ผลิตได้สูบน้ำขึ้นที่สูงเพื่อใช้ภายหลัง) ไปในต้นทุนการผลิตพลังงานสะอาดด้วย ซึ่งทำให้ราคาพลังงานสะอาดสูงกว่าพลังงานฟอสซิล
แต่ด้วยเทคโนโลยีแบตเตอรี่และแผงโซล่าที่ดีขึ้นเรื่อยๆ บวกกับแรงกดดันเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภาษีคาร์บอนที่จะดันให้ต้นทุนพลังงานฟอสซิลสูงขึ้น ในที่สุดพลังงานสะอาดก็น่าจะต้องเข้ามาชิงสัดส่วนพลังงานส่วนใหญ่ได้ในที่สุด
ท้ายสุดแล้ว เราอาจไม่ต้องเลือกใช้พลังงานอย่างใดอย่างหนึ่งซะทีเดียว แต่อาจใช้แบบผสมผสาน ร่วมกับเทคโนโลยีอื่นๆ อย่าง ไฮโดรเจน และ การกักเก็บคาร์บอน
แน่นอนว่าไม่มีใครรู้แน่ว่าการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดนี้กินเวลายาวนานขนาดไหน ได้ก็หวังว่าจะเร็วทันหยุดยั้งหายนะที่จะเกิดขึ้น ซึ่ง IEA (International Energy Agency) ได้ประเมินฉากทัศน์ของการเปลี่ยนผ่านถึงปี 2050 ไว้ 3 ฉากทัศน์ (STEPS, APS, NZE) ในรูปและตารางด้านล่าง ซึ่งผมคงไม่ลงรายละเอียด แต่เล่าง่ายๆ ว่า ฉากทัศน์ NZE เปลี่ยนผ่านเร็ว ช่วยให้โลกไม่ร้อนเกิน 1.5 องศา ฉากทัศน์ STEPS เปลี่ยนผ่านช้า ส่วน ฉากทัศน์ APS นั้นอยู่กลางๆ
สังเกตนะครับว่า ไม่ว่าจะเป็นฉากทัศน์ไหน ความต้องการการใช้น้ำมันนั้นมีแต่ทรงๆ หรือลดลง ส่วนในแง่ราคา ไม่ว่าจะเป็นฉากทัศน์ไหน ราคาก็มีแต่จะลดลง นั่นก็ทำให้ผมเชื่อว่ายุคของพลังงานฟอสซิลกำลังจะผ่านพ้น และ…
เราจะต้องเอาน้ำมันออกจากพอร์ตลงทุนระยะยาว!