บิทคอยน์ให้กำเนิดระบบการเงินไร้ศูนย์ (decentralized finance) และแสดงศักยภาพของเทคโนโลยีบล็อกเชน (blockchain) ให้โลกประจักษ์ นอกจากนั้นยังทำให้สกุลเงินดิจิตอล (cryptocurrency) และเทคโนโลยีที่มีประโยชน์อื่นๆ เกิดขึ้นตามมาอีกมากมาย แต่ในแง่สิ่งแวดล้อมแล้ว บิทคอยน์ถือเป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกตัวใหญ่
รางวัลนักขุด
บิทคอยน์ใช้วิธี Proof of Work (PoW) สร้างความปลอดภัยให้แก่ธุรกรรมบนเครือข่าย โดยให้เหล่านักขุด (miners) แข่งกันแย่งสิทธิ์จดบันทึกธุรกรรมบนบล็อกเชน ซึ่งวิธีแย่งก็ตรงไปตรงมาคือใช้คอมพิวเตอร์แข่งกันหาตัวเลขปริศนาให้เจอ ใครเจอก่อนก็ได้สิทธิ์ในการจดบันทึก
การหาตัวเลขปริศนานั้นทำแบบลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ (ระบบออกแบบมาอย่างนั้น) นั่นแปลว่ายิ่งนักขุดใช้พลังประมวลผลมากก็จะยิ่งมีโอกาสเจอเลขปริศนาได้ก่อนคนอื่น แต่นั่นก็หมายถึงต้องใช้ไฟฟ้ามากด้วย นอกจากนั้นระบบยังออกแบบให้ความยากของการหาตัวเลขปริศนาเปลี่ยนไปตามพลังงานประมวลผลของทั้งระบบ (total hash rate) เพื่อที่จะทำให้เหล่านักขุดหาคำตอบเจอและทำการบันทึกบล็อกได้โดยเฉลี่ยทุกๆ 10 นาที ยิ่งระบบมีพลังประมวลมาก ตัวเลขปริศนาก็จะยิ่งหายาก
แน่นอนนักขุดไม่ได้ทำงานกันฟรีๆ นักขุดที่หาตัวเลขปริศนาเจอและได้จดบันทึกบล็อกจะได้รางวัลสองส่วน คือ 1) เหรียญที่ระบบผลิตขึ้นใหม่ที่เรียกว่าบล็อกรีวอร์ด (block reward) และ 2) ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม (transaction fee) ในปัจจุบัน (ปี 2022) ระบบจะแจกบล็อกรีวอร์ด 6.25 เหรียญต่อบล็อก ส่วนค่าธรรมเนียมก็แล้วแต่ว่าผู้ทำธุรกรรมจะเสนอให้เท่าไหร่ (อย่างเช่น โอนบิทคอยน์ 1 เหรียญ ผู้โอนอาจให้ค่าธุรกรรม 0.0003 เหรียญ)
ปัจจุบันรางวัลที่นักขุดได้ส่วนใหญ่มากกว่า 98% จะมาจากบล็อกรีวอร์ด (ค่าธรรมเนียมน้อยมาก) แต่สัดส่วนนี้ก็จะเปลี่ยนไปในอนาคตเพราะบิทคอยน์กำหนดให้บล็อกรีวอร์ดลดลงครึ่งหนึ่ง (halving) ทุกๆ สี่ปี เช่น ตั้งแต่ประมาณวันที่ 4 พฤษภาคม 2024 บล็อกรีวอร์ดก็จะเหลือ 3.125 เหรียญต่อบล็อก
แล้วรางวัลที่ได้คุ้มค่าขุดหรือเปล่า?
ต้นทุนพลังงาน
ศูนย์การเงินทางเลือก (Centre of Alternative Finance) ของเคมบริดจ์ได้ประมาณพลังงานที่เครือข่ายบิทคอยน์ใช้ในปัจจุบันที่ประมาณ 5.8 – 19.4 GW (พันล้านวัตต์) โดยมีค่ากลางที่ 11 GW พลังงานจำนวนนี้มากพอที่เปิดแอร์ได้ 11 ล้านเครื่อง หรือ ขับมอเตอร์ไซค์ได้เกือบ 2 ล้านคัน
ด้วยกำลังไฟ 11 GW นี้ ในหนึ่งชั่วโมงเครือข่ายบิทคอยน์ก็จะใช้พลังงาน 11 GWh (พันล้านวัตต์-ชั่วโมง) หรือไฟ 11 ล้านหน่วย (1 หน่วยคือ พันวัตต์-ชั่วโมง) และอย่างที่เล่าไปตอนต้นว่านักขุดจะได้บล็อกรีวอร์ด 6.25 เหรียญต่อสิบนาที หรือ 6.25 x 6 = 37.5 เหรียญต่อชั่วโมง ดังนั้นต้นทุนของเหรียญบิทคอยน์ผลิตใหม่คือไฟฟ้า 11,000,000 / 37.5 = 293,333 หน่วย (ยังไม่รวมค่าธรรมเนียม แต่มีผลน้อยมาก)
สำหรับนักขุดชาวไทยที่ใช้ไฟจากการไฟฟ้าหน่วยละประมาณ 4 บาท ต้นทุนค่าไฟในการขุดก็จะอยู่ที่ 293,333 x 4 = 1,173,333 บาทต่อเหรียญ เมื่อแปลงเป็นดอลลาร์ (สมมุติอัตราแลกเปลี่ยน 35 บาทต่อดอลลาร์) ก็จะเทียบเท่า 33,524 ดอลลาร์ แน่นอนว่านอกจากค่าไฟแล้วยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีก (อย่างเช่น ค่าเครื่องขุด) แต่ค่าใช้จ่ายหลักๆ ก็คือค่าไฟ
เมื่อดูราคาบิทคอยน์ในปัจจุบันที่ประมาณ 20,000 ดอลลาร์ นักขุดหลายแห่งในโลกที่ต้นทุนค่าไฟราคาถูกก็ยังไปต่อได้ แต่นักขุดที่ต้นทุนค่าไฟแพงก็จะขาดทุนและต้องเลิกขุดไป ถ้ามีคนเลิกขุดเยอะๆ พลังประมวลของทั้งระบบก็จะลดลง ระบบก็จะยอมให้หาเลขปริศนาง่ายขึ้น ไฟฟ้าที่ใช้ต่อเหรียญก็จะลดลง ฟังดูสมเหตุสมผลดีใช่ไหมครับ นอกเสียแต่…ต้นทุนที่พูดมาทั้งหมดนี้ยังไม่ได้รวมต้นทุนต่อโลกและพวกเราทุกคนเลย!
ต้นทุนต่อโลก
ถึงแม้ว่าบิทคอยน์จะสร้างกำไรให้แก่นักขุด แต่การขุดเหรียญก็ทิ้งภาระให้โลกอย่างมาก อย่างที่คำนวณไปข้างบนว่าต้นทุนเหรียญบิทคอยน์ออกใหม่ในปัจจุบันคือ ไฟฟ้า 293,333 หน่วย และแม้ว่าคนจ่ายค่าไฟจะเป็นนักขุดเอง แต่ความเสียหายจากก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตไฟนั้นยังไม่มีใครจ่าย
ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นในการผลิตไฟขึ้นอยู่กับแหล่งพลังงาน ถ้าผลิตไฟจากพลังงานสะอาดอย่างพลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานลมก็ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยหน่อยเพราะสร้างก๊าซแค่ในกระบวนการผลิตโซลาเซลล์หรือกังหันลม แต่ถ้าผลิตไฟจากพลังงานฟอสซิลก็จะปล่อยก๊าซมากกว่ามาก
ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศไทยส่วนใหญ่ผลิตจากก๊าซธรรมชาติและปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 0.44 กิโลกรัมต่อไฟหนึ่งหน่วย ดังนั้นนักขุดชาวไทยจะปล่อยก๊าซ 293,333 x 0.44 = 129,067 กิโลกรัมต่อเหรียญออกใหม่ในปัจจุบัน ซึ่งก๊าซประมาณ 129 ตันนี้ส่งผลกระทบไปทั่วโลกและต่อทุกคน
แล้วปริมาณก๊าซ 129 ตันนี้จะส่งผลให้โลกเสียหายเท่าไหร่?
แม้ว่าค่าความเสียหายจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะประเมินได้ยากมาก แต่เราอาจอ้างอิงจากภาษีคาร์บอนหรือราคาซื้อขายเครดิตคาร์บอนในตลาดได้ ซึ่งราคาก็แทบจะตั้งกันแบบตามใจชอบ อย่างในโตเกียวคาร์บอนไดออกไซด์หนึ่งตันอาจจะมีราคา 4-5 ดอลลาร์ แต่ในสวิตเซอร์แลนด์อาจแพงถึง 130 ดอลลาร์ เอาเป็นว่าถ้าใช้ค่ากลางๆ 50 ดอลลาร์ การขุดบิทคอยน์หนึ่งเหรียญจะสร้างความเสียหายจากโลกร้อน 129 x 50 = 6,450 ดอลลาร์ นี่เป็นค่าเสียหายที่ไม่มีใครรับผิดชอบ แต่กระทบกันถ้วนหน้า
แน่นอนว่าด้านบนเป็นเพียงตัวอย่างจากการขุดด้วยไฟฟ้าในประเทศไทยเท่านั้น ความเป็นจริงคือไฟฟ้าที่เหล่านักขุดใช้มีที่มาแตกต่างกันไป ปล่อยก๊าซน้อยบ้าง มากบ้าง แล้วแต่แหล่งพลังงาน นอกจากนั้นต้นทุนพลังงานต่อเหรียญยังเปลี่ยนไปอย่างมากตามเวลา อย่างในปี 2009 ที่บิทคอยน์ยังไม่ค่อยมีคนรู้จัก ระบบแจกเหรียญมากถึง 50 เหรียญต่อบล็อก ตอนนั้นมีนักขุดน้อย พลังประมวลผลก็น้อยด้วย ดังนั้นต้นทุนพลังงานต่อเหรียญจึงน้อยมาก แต่ในอนาคตอย่างเช่นปี 2024 ที่ระบบจะลดการแจกเหรียญครึ่งหนึ่ง ถ้าระบบยังใช้พลังงานเท่าเดิมและค่าธรรมเนียมไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาก เราก็พอเดาได้ว่าต้นทุนพลังงานต่อเหรียญจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
ส่วนเรื่องที่ว่าถึงตอนนั้นแล้วราคาของบิทคอยน์จะเป็นอย่างไรเป็นเรื่องที่ต้องคิดกันต่อ
ราคาบิทคอยน์
ถ้าคุณเป็นนักขุดบิทคอยน์แล้วค่าไฟที่ใช้แพงกว่าเหรียญที่ได้คุณจะขุดต่อไหม? เชื่อว่านักขุดที่มีสติคงจะต้องเลิกขุด เรามาลองดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อเกิดมีการหั่นครึ่งบล็อกรีวอร์ดครั้งถัดไป
ถ้าระบบยังใช้พลังงานเท่าเดิมและค่าธรรมเนียมยังน้อยเหมือนเดิม นักขุดก็จะได้รางวัลเป็นเหรียญบิทคอยน์น้อยลงครึ่งหนึ่ง แสดงว่าต้นทุนต่อเหรียญออกใหม่ (และต่อโลก) เพิ่มเป็นสองเท่า ถ้าราคาบิทคอยน์ไม่เพิ่มขึ้นสองเท่าด้วย นักขุดก็ต้องทยอยเลิกขุดไปเพราะไม่คุ้ม จนกว่าต้นทุนพลังงานต่อเหรียญจะเท่ากับหรือมากกว่ารางวัลที่ได้ แต่ราคาบิทคอยน์ก็ไม่ได้ถูกำหนดง่ายๆ เพราะผันผวนตามแรงซื้อขายในตลาด ดังนั้นยากจะคาดเดาว่าสุดท้ายจะลงเอยอย่างไร แต่ถ้าเป็นอย่างที่เป็นมาล่ะก็…
เมื่อดูจากข้อมูลในอดีต เราจะเห็นว่าพลังงานประมวลผลของระบบถึงจะขึ้นบ้างลงบ้าง แต่รวมๆ ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ก็แปลว่าราคาบิทคอยน์จะต้องเพิ่มเป็นสองเท่าให้ได้ ไม่งั้นระบบก็ต้องลดพลังงานประมวลผลและบิทคอยน์จะเริ่มเสื่อมมนต์เสน่ห์
อนาคตของบิทคอยน์จะเป็นอย่างไร ราคาจะเป็นเท่าไหร่ คงต้องให้ตลาดเป็นผู้ตัดสิน แต่ไม่ว่าอย่างไรบิทคอยน์ก็เอาพลังงานไปใช้อย่างสิ้นเปลืองและสร้างผลกระทบต่อโลกและเราทุกคน
ป.ล. ทุกวันนี้โลกยังขาดแคลนพลังงาน และคน 940 ล้านคนก็ยังไม่มีไฟฟ้าใช้
ข้อมูลอ้างอิง:
[1] https://ccaf.io/cbeci/index