ถ้าคุณไม่เคยได้ยินมาก่อน คุณอาจตกใจที่รู้ว่าคนทั่วโลกปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยเฉลี่ย คนละประมาณ 6.5 ตัน CO2e ต่อปี ในนั้น 75% เป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อคิดว่าอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 80 ปีแล้ว ตลอดชีวิตเราก็น่าจะปล่อยก๊าซกันมากกว่า 500 ตันเลยทีเดียว แน่นอนว่าคงเป็นเรื่องยากที่จะปลูกต้นไม้ให้ได้เพียงพอหักล้างกับปริมาณก๊าซที่คุณปล่อย…ยกเว้นคุณจะมีโอกาสปลูกต้นไม้ดึกดำบรรพ์ที่มีมาตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์อย่าง สนยักษ์ซีคัวญา (giant sequoia) หรือไม่ก็ เรดวูด (coastal redwood) ที่ขึ้นอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ออริกอน และวอร์ชิงตัน ต้นไม้ยักษ์พวกนี้อยู่ได้เป็นพันๆ ปี
อะไรเปลี่ยนเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นอาหารเลี้ยงดูคนเกือบครึ่งโลก
ไม่ว่าคุณจะชิงชังเจ้าพลังงานสกปรกนี้ขนาดไหน แต่เชื้อเพลิงฟอสซิลกำลังผลิตอาหารเลี้ยงดูคนบนโลกเกือบครึ่ง ตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 18 จนถึงกลางทศวรรษ 1960 ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อและวิตกว่าจะเกิดปัญหาประชากรล้นโลก และผู้คนจะอดอยากล้มตาย (คุณก็อาจเคยเห็นในหนังอยู่บ้าง) ความกลัวที่ว่าอาจไม่ได้เกินเลยอะไร เมื่อคิดว่าในเวลานั้น โลกยังไม่รู้จักสิ่งมหัศจรรย์สิ่งหนึ่ง ผลผลิตการเกษตรที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดหล่อเลี้ยงคน 7 พันล้านกว่าคนให้มีชีวิตบนโลกใบนี้ ผลผลิตต่อไร่ทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 1900 เช่น ผลผลิตข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และข้าวโอ๊ต เพิ่มขึ้นเป็น 3-4 เท่า ในอังกฤษ หรือ ผลผลิตข้าวโพดเพิ่มขึ้นเป็น 5 เท่า ในสหรัฐอเมริกา อะไรทำให้เกิดการก้าวกระโดดนี้ จริงๆ ก็หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการคัดพันธุ์พืชที่ให้ผลผลิตสูง การชลประทานที่ดี เทคนิคการเกษตรที่พัฒนาขึ้น และที่ขาดไม่ได้ก็คือ ปุ๋ยไนโตรเจน